เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธนะ เราชาวพุทธเรามีศาสนาเป็นที่พึ่ง ดูโลกเขาสิ ตอนนี้นะทางเด็กรุ่นใหม่ เขาจะลงทะเบียนบ้านเขาว่าไม่นับถือศาสนาอะไร เพราะเขาไม่เห็นคุณค่าของศาสนา เขาเห็นว่าศาสนานี่นะ ทางวิทยาศาสตร์ให้ภิกษุเป็นลูกตุ้มสังคม เป็นคนเหนี่ยวรั้งถ่วงสังคม เขาคิดของเขาอย่างนั้นนะ แต่เวลาทางตะวันตก เห็นไหม สังคมเขาเจริญมาก ทางวัตถุเขาเจริญมาก แต่เขาทุกข์ร้อนกันมาก พอเขาทุกข์ร้อนขึ้นมาเขาพยายามแสวงหา

แต่ของเรานี่เราทุกข์ร้อนแต่เราไม่คิดเรื่องศาสนาไง เราทุกข์ร้อนเพราะว่าเราขาดปัจจัย ๔ เราขาดปัจจัยเครื่องอาศัย เราขาดปัจจัยนะ นี่เห็นไหม เวลาเด็กรุ่นใหม่ลงในทะเบียนบ้านนะไม่นับถือศาสนาอะไร แล้วเป็นของเท่ห์นะไม่นับถือศาสนาอะไร ก็เหมือนเรานี่เหมือนสัตว์ เห็นไหม สัตว์มันอยู่ฟาร์มไหน เจ้าของคอกมันคอกไหน

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นมนุษย์ สัตว์มนุษย์ไง นี่คอกของใคร? ศาสนาพุทธ ลัทธิศาสนาต่างๆ เห็นไหม ลัทธิศาสนามันเป็นศีลธรรม จริยธรรม เป็นเครื่องในหัวใจ การศึกษาศาสนาคือการศึกษาชีวิต ชีวิตเกิดขึ้นมาจากไหน? ชีวิตนี่ ดูสิสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ สิ่งที่พิสูจน์ได้ เห็นไหม ชีวิตนี้มาจากไหน?

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ การขับเคลื่อนของชีวิต การขับเคลื่อนที่มาที่ไปของชีวิต เราเข้าใจชีวิตขนาดไหน เราเข้าใจเรื่องชีวิตนะ เราว่าเอาจิตเรารอดจากการเกิดการตายไม่ได้ การเข้าใจในเรื่องชีวิต เห็นไหม ที่มามาอย่างไร? การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ใครให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เราก็ว่าเกิดจากพ่อจากแม่ เราไม่เห็นว่าเกิดจากกรรม

กรรมดี ดูสิครอบครัวที่เขามีฐานะ เขาอยากมีลูกมีเต้ามหาศาลเลย เขามีลูกยากมาก ไอ้ครอบครัวขี้ทุกข์ขี้ยาก อู้ฮู.. ลูกเป็นพรวนเลย เห็นไหม เพราะคนทำบุญมาน้อย คนทำดีมันน้อย คนทำชั่วมันมาก ทีนี้คนทำความชั่วนะ ถ้าชั่วหนักมันลงนรกอเวจี มันเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดูสิเวลาสัตว์เดรัจฉาน ดูมด ดูปลวกสิ เมื่อก่อนเขาว่า ๑๖ ล้านคน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านคนมันมาจากไหน?

จิตหนึ่ง! จิตหนึ่ง! จิตหนึ่งเท่านั้น จิตเกิดตลอดเวลา แต่เกิดในอะไรเท่านั้นเอง เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ที่มาของใจ ที่มาของการเกิด เกิดนี่กรรมพาเกิด เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วแสนทุกข์แสนยาก แสนทุกข์แสนยาก เข้าใจเรื่องชีวิตนะเข้าใจหมดเลย เข้าใจทั้งหมด แล้วเวลาตายไป ตายไปก็ยังมาเกิดอีก แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจนี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัจจะความจริง การเกิดนี่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ชาติปิ ทุกขา การเกิด เห็นไหม ปฏิสนธิจิต จิตมันหลุดพ้นออกมาจากนรก อเวจี หมดบุญกรรมมาจากสวรรค์ มันก็ต้องมาเกิดเป็นธรรมดา เราเกิดเป็นมนุษย์ซ้ำๆ ซากๆ ดีกว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดเป็นสัตว์นะ

ดูสิดูท้าวโฆสกเขาเป็นสุนัขนะ สุนัขนี่ เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้านัดกับเจ้าของว่าไปฉันในพรรษานั้น สุดท้ายแล้วพอไปนิมนต์มาทุกวันๆ เข้า พอคุ้นชินกันก็บอกว่าจะให้สุนัขนี้ไปตามมาทุกวัน นี่เอาสุนัขนี้ไปตามมานะ ด้วยความคุ้นชินสุนัขมันรักพระ แล้วพระท่านก็รักสัตว์ เห็นไหม เวลาไปถึงทางแยก ทางร่วมท่านจะเดินแกล้งหลงไป สุนัขมันไม่ยอมนะ มันไปคาบจีวรดึงมาว่าทางนี้ๆๆ นี่มันผูกพัน มันรักของมันนะ เวลาถึงออกพรรษาแล้ว ประเพณีของพระสมัยพุทธกาล ออกพรรษาแล้วจะออกธุดงค์ จะไม่อยู่ประจำที่ ออกพรรษาแล้วก็ร่ำลากันว่าจะไป สุนัขมันรักมันมาหอนจนขาดใจตายนะ มันไปเกิดเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุดเลย เป็นท้าวโฆสก เดี๋ยวนี้ทับศัพท์มาเป็นโฆษกๆ นี่หมาทั้งนั้นแหละ

ท้าวโฆสก เห็นไหม ดูสิสุนัขมันยังเกิดเป็นเทวดานะ ดูสิการเกิดและการตาย เวียนตายเวียนเกิด การศึกษาธรรมเป็นการศึกษาชีวิต ชีวิตนี้ชาติปิ ทุกขา ชาติภพการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่มันต้องเกิด เพราะชาติการเกิดมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แล้วเราจะไม่เกิด เราจะไม่ให้มันมีความทุกข์เลย ความทุกข์ไม่ให้เกิดกับเรา มันเป็นไปไม่ได้

แรงขับมันมี จิตมันมีอวิชชา มันมีแรงขับ นี่สสารมันมีอยู่ สสารมันต้องแสดงตัวเป็นธรรมดา จิตมันต้องเกิดเป็นธรรมดา แต่เกิดมาแล้วนี่ เกิดมาเป็นมนุษย์มีอานุภาพมาก เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ ดูสิเรามีอำนาจมากนะ เราเอาช้าง เอาสัตว์ต่างๆ มาใช้สอยได้ทั้งนั้นแหละ ใช้ปัญญาของเราคิด เห็นไหม

ดูสิไปอวกาศจะไปอยู่ดาวอังคารกัน จะหาโลกใหม่ โลกนี้มันสิ่งแวดล้อมไม่ดีแล้ว จะไปอยู่โลกใหม่กันแล้วนะ นี่ด้วยปัญญา ด้วยความคิด ศักยภาพของมนุษย์นะ สมองของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มีศักยภาพมาก แต่ไม่มีโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันศักยภาพของการเกิด เห็นไหม การเกิดและการชำระล้างให้มันสะอาดได้

นี่ธรรมะ ศึกษาธรรมะ ธรรมะนี่ศึกษาชีวิตนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้พวกเรามีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่าให้มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย ธรรมะ! ธรรมะ สัจจะความจริง สัจจะอริยสัจจะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริง แล้วถ้ามันเกิดมาเป็นสัตว์ เห็นไหม มันก็ทุกข์ของมัน แต่มันดิ้นรนหาทางออกไม่ได้

มันทำคุณงามความดีของมัน มันรักษาหมู่คณะของมัน มันดูแลของมัน มันเอื้ออาทรต่อกัน มันก็เป็นความดีของสัตว์ มันก็เวียนตายเวียนเกิดโดยอามิส โดยแรงขับ แต่อริยสัจมันจะชำระแรงขับ เห็นไหม ดูสิโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนสิ้นจากกิเลสไปนี่ ชำระแรงขับไปจางไปๆ จนถึงที่สุดแรงขับออกหมดไปจากจิตเลย แล้วทำลายตัวภวาสวะ

ถ้าแรงขับออกไปจากจิต ยังมีตัวจิตอยู่อย่างพระอนาคามี กิเลสของพระอนาคามีนะยังอยากให้เขายอมรับ ยังอยากในลาภ อยากมีชื่อเสียงศรัทธา นี้กิเลสของพระอนาคามีนะ เห็นไหม ดูสิว่างๆ ว่างๆ นี่มันยังมีภวาสวะ มีภพอยู่ มันยังมีสถานที่ มันยังมีที่อยู่อาศัยของแรงขับนั้น มันมีที่อยู่อาศัยของมารนั้น

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ เห็นไหม ศักยภาพของปัญญาที่เราจะไปอยู่โลกดาวอังคารกัน นี่เราจะเอาสิ่งที่แสวงหาโลกใหม่ แสวงหาโลกใหม่เพราะเราคิดถึงชีวิตไง แต่เราไม่คิดว่าเวลาตายไป เวลาจิตมันตายไปเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เทวดา อินทร์ พรหม มันอยู่ที่ไหน? ดูสิจะไปสวรรค์ จะขี่ยานอวกาศไปเหรอ?

ไปสวรรค์นะมันไปด้วยคุณงามความดี นี่รัดนิ้วมือเดียว เห็นไหม ภพนี่มิติมันบังกันไว้ ภวาสวะ ภพ มันบังกันไว้เราไม่เห็นหรอก นี่กาลเวลา ๒๔ ชั่วโมงมันบังเราไว้นะ เทวดา ๑๐๐ ปีของเขาเท่ากับ ๑ วัน นี่คนละมิติ เวลาก็ต่างกัน อาหารก็ต่างกัน ความเป็นอยู่ก็ต่างกัน แต่! แต่จิตดวงเดียวนี่แหละ จิตดวงนี้เวียนตายเวียนเกิดสถานะที่มันเป็นไป

เราว่าสิ่งนี้เขียนเสือให้วัวกลัว ศาสนาพุทธนี่เขียนเสือให้วัวกลัว บอกทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่าทำชั่ว เขียนเสือให้วัวกลัว อันนี้มันกิเลสพูดนะ เขียนเสือให้วัวกลัว เราทำความไม่ดี เราซุกสิ่งที่เราทำความชั่วไว้ในใต้พรมในหัวใจของเรา เราทุกข์ร้อนไหม? เราทำความผิดไว้ เวลาไปไหนเรามีความสะเทือนหัวใจไหม? มันเป็นความจริงทั้งนั้นแหละ แต่กิเลสมันอ้างเล่ห์ ทำแต่ความดี ทำแต่ความสะอาด

สิ่งที่ป้องกันตัวเองได้ดีที่สุดคือศีลธรรม คือทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งดีมันเข้าสังคมไหนก็ได้ ศีลนี่มันทำให้องอาจกล้าหาญนะ ศีลทำให้องอาจกล้าหาญ ยิ่งถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ ธรรมะในหัวใจ ธรรมะอยู่ในหัวใจนะมันอยู่เหนือโลก อยู่เหนือสัจธรรม อยู่เหนือความดีทั้งหมดเลย มันอยู่กับเขา เห็นไหม โลกเขาต้องการอะไร? เขาต้องการสิ่งใด เขาปรารถนาสิ่งใด

หัวใจเราเคยเป็นอย่างนั้นมา เราทำไมจะไม่รู้ว่าโลกเขาต้องการสิ่งใด แต่เราไม่ต้องการสิ่งที่เขาต้องการ โลกที่เขาต้องการกัน เขาแย่งชิงกันด้วยตัณหาความทะยานอยาก ด้วยความ ทิฏฐิมานะ ด้วยความใหญ่ ความอยากใหญ่ นี่ตายทั้งนั้นแหละ เราเข้าใจเรื่องความเป็นจริงนะ จิตนี่ ชีวิตนี้นะ เรามีชีวิตอยู่ เรามีชีวิตของเรา เราไม่มีเวลาพอที่จะไปแย่งชิงอะไรกับใครหรอก เราต้องพยายามค้นหาตัวเรา หาภวาสวะ หาภพ

สัมมาสมาธิ เห็นไหม นี่จิตที่มาเกิดปฏิสนธิจิต เวลาจิตเข้าสมาธิ อัปปนาสมาธิมันปล่อยหมดนะ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้ มันปล่อยกายเลยล่ะ ทั้งๆ ที่อยู่ในร่างกายนี่มันปล่อยร่างกายได้โดยธรรมชาติของมัน เราหาตัวตนของเรา หาชีวิตของเรา หาความเป็นจริงของเราที่แท้จริง

ชีวิตของเราไม่ได้อยู่ที่ทะเบียนบ้าน ไม่ได้อยู่ที่ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ถ้าไม่พอใจเราก็เปลี่ยนชื่อใหม่ เรามาเปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติ เปลี่ยนลัทธิศาสนา เปลี่ยนภพ เปลี่ยนชาติเลย โอนชาติ โอนสัญชาติ โอนได้หมดเลย โลกเป็นไปอย่างนั้นหมดเลย แต่โอนความเป็นความตายไม่ได้!

ความเป็นความตายในชีวิต เห็นไหม นี่ศึกษาชีวิตศึกษามาที่นี่ เราไม่มีเวลาไปแย่งชิงกับใคร เราเกิดมามีปากมีท้อง เราเป็นญาติกันโดยธรรม เรามีปาก เรามีท้อง เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็แสวงหา เราบวชมาเป็นพระ ปัจจัย ๔ บริขาร ๘ เราก็มีของเรา เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แม้แต่พระก็ต้องมีปัจจัย ๔

ปัจจัย ๔ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปัจจัย ๔ ชีวิตของคนต้องดำรงด้วยปัจจัย ๔ ถ้าไม่มีปัจจัย ๔ ชีวิตนี้ดำรงไปไม่ได้ แม้แต่พระยังต้องอาศัย แล้วเราเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นฆราวาส เราก็แสวงหาทำหน้าที่การงานของเรา เวลาเราทำงานเราก็ทำงานตามความเป็นจริง คนจริงนะวิริยะอุตสาหะทางโลกก็ประสบความสำเร็จทางโลก มาบวชเป็นพระหรือประพฤติปฏิบัตินะ เรามีความจริงในหัวใจของเรา เราก็จะประสบความสำเร็จในธรรม

โลกกับธรรม โลกคือสังคมความเป็นอยู่แบบโลก ธรรมะ! ธรรมะคือสัจจะความจริง อริยสัจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันอยู่ที่ไหน? เราไปรื้อค้นในตำรับตำรา รื้อค้นในพระไตรปิฎก รื้อค้นเถอะ รื้อค้นนั้นมันเป็นตำราชี้เข้ามาที่หัวใจทั้งหมดเลย นี่สุข ทุกข์ มันอยู่ที่ใจ การเกิดการตายก็อยู่ที่ปฏิสนธิจิตนะ

ร่างกายเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ ชาตินี้เป็นของเรา เราหวงแหนมาก เราพยายามถนอมรักษามาก แต่มันก็ต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา เวลามันทิ้งไปแล้วเราเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ เวลาจิตมันพลัดพรากมันต้องออกไป จิตออกไปนี่จิตไปไหน? ร่างกายทิ้งทำไม ตายไปทำไม? ทำไมไม่เอาร่างกายมาด้วย ร่างกายเอาไว้ที่เชิงตะกอน แล้วจิตมันไปไหน? จิตมันมีแต่ความดีความชั่วไปกับมัน

แล้วถ้าจิตไปไหน เห็นไหม คำว่าจิตไปไหน แต่เวลาพูดคำว่าสะอาด มันสะอาดตั้งแต่แรงไม่มี แล้วจิตไปไหน? กิเลสมันตายตั้งแต่ขณะที่ปฏิบัติ กิเลสมันตายไปแล้วมันเหลืออะไร? มันเหลืออะไร? เหลือวิมุตติสุข แล้ววิมุตติสุขมันอยู่ที่ไหน? ความตายมันอยู่ที่ไหน? ถ้ามันตายโดยปุถุชนนี่นะ ตายปั๊บ เห็นไหม จิตไม่มีเว้นวรรค จิตไม่มีว่าง ตายปั๊บเกิดทันที เกิดเพราะอะไร? เพราะจิตไม่เคยเว้นวรรค

นี่ของที่มีอยู่มันหายไปไม่ได้ แล้วมันจะทรงตัวมันได้อย่างไร? เวลาเกิดเป็นผี เป็นเปรต สัมภเวสี มันก็อยู่ของมัน เกิดปั๊บเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม ดูสิเทวทัตทำความเลวไว้ในศาสนานี้มาก เวลาตายไปนี่ไปสดๆ ธรณีสูบไปเลย จิตลงนรกอเวจีไปเลย แต่พวกเราทำกึ่งดี กึ่งสุกกึ่งดิบ มีความดี ความชั่ว ความเลวปนกัน ต้องไปให้ยมบาลตัดสินนะ ต้องขึ้นศาลนะ ต้องไป พอขึ้นศาลนั่นก็เกิดแล้วนะ เกิดเป็นสัมภเวสีก็ไปหายมบาล แล้วยมบาลตัดสินอีกว่าจะไปไหนต่อ

จะไปไหนต่อ เห็นไหม มันไปนี่จิตไม่มีเว้นวรรค ถ้าจิตไม่มีเว้นวรรค จิตเวลาตายมันตายไปไหน? แล้วถ้าเวลาเราตายไป เราตายไปพร้อมกับดวงใจ ดวงใจของจิตพร้อมกับขันธ์ ๕ พร้อมกับสิ่งที่เราทำมาในหัวใจ มันขับเคลื่อนไปตามสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าทำคุณงามความดีล่ะ? ดูสิเวลาตายจิตตคฤหบดี เห็นไหม รถม้ามาเทียมม้าหมดเลย รถทิพย์มารออยู่บนอากาศทั้งหมดเลย ให้เราไปได้ทันทีเลย

คนทำความดี ถึงที่สุดมันไปโดยธรรมชาติของมันเลย คนทำชั่ว ถึงที่สุดมันไปโดยธรรมชาติของมันเลย คนที่ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้างต้องไปตัดสินกัน เห็นไหม แล้วเราชำระล้างทั้งหมด เราเห็นทั้งหมด เรารู้ทั้งหมด ในหัวใจเราชำระล้างไปเรื่อยๆ มันจางไปเรื่อยๆ จางไปเรื่อยๆ โสดาบันอีก ๗ ชาติ ปุถุชนนี่ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันต้องไปตามแรงกรรม

โสดาบันนี่แรงกรรมให้ผลอยู่ แต่! แต่มีขอบเขตจำกัดว่าอีก ๗ หนเท่านั้นเอง แล้วถ้าเราชำระล้างมาเหลือ ๓ หน จนถึงที่สุดเป็นพรหม เห็นไหม เกิดเป็นพรหมเท่านั้นแล้วไม่เกิดอีก ทำไมถึงไม่เกิด?

นี่ศึกษาธรรม ศึกษาชีวิต แล้วธรรมะมันอยู่ที่ไหน? ธรรมะมันอยู่ที่การกระทำของเรา มันอยู่ที่หัวใจของเรา อยู่ที่สติปัญญาของเรา เห็นไหม สติของเรา เรายับยั้งของเรา เราจะไม่มีเวลาไปแย่งชิงกับโลกเขานะ แต่เราต้องอยู่กับเขา เพราะเราเกิดมาในโลกไง เราเกิดในโลกเราต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม? หามาเพื่อเราใช่ไหม? แล้วเราเอาเวลามาศึกษาเรานะ มีเวลานั่งสมาธิ มีเวลาภาวนาของเรา ศึกษาชีวิตของเรา

ศึกษาชีวิตคือศึกษาธรรม ศึกษาชีวิตแบบวิทยาศาสตร์ ศึกษาชีวิตแบบโลก เห็นไหม ดูสิทางการแพทย์ ศึกษาชีวิตนี่รู้หมดเลยทำไมถึงเป็น ทำไมถึงตายนะ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ นี่ไงศึกษาชีวิตแบบวิทยาศาสตร์.. ศึกษาชีวิตแบบธรรม มันมีที่มาที่ไปไง ที่เกิดที่ดับ จุดเริ่มต้นที่เกิด เกิดเป็นมนุษย์เกิดอย่างไร? ดับนี่จิตเคลื่อนออกไปจากกายนี้แล้ว จิตเคลื่อนออกไปจากกายมันเกิดเป็นอะไร?

ถ้าเกิดเป็นอะไร? นี่วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ แล้วอาสวักขยญาณ ถ้าวิชชา ๓ จบ อาสวักขยญาณจบแล้วจบ กิเลสจบแล้วไม่มีสิ่งใด สิ่งที่เหลืออยู่นี้คือสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะมีชีวิตอยู่ นี่ความคิด ความอ่าน ธาตุขันธ์ มันเป็นเศษส่วน คำว่าเศษคือมันสะอาดบริสุทธิ์นะ คำว่าเศษของพระอรหันต์แต่ไม่ใช่เศษของเรา มันเป็นสิ่งที่เคารพบูชาของเรา

ภพของสมณะนะ.. สมณะ ๔ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นี่สมณะ เห็นไหม การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นมงคลชีวิตเราเลยล่ะ เราจะไม่เห็นสิ่งนี้ สิ่งนี้มีอยู่เราก็ไม่เคยเห็น แต่ถ้าเราได้เห็น เราเข้าใจไหม? เราศรัทธาไหม? ฟังธรรมไหม? ธรรมนี้มันสะเทือนหัวใจเราไหม? เวลาฟังธรรมขึ้นมา ธรรมมันสะเทือนหัวใจ

นี่มันสะเทือนหัวใจของเรา มันสะเทือนใจเรา สะเทือนกิเลสไง ถ้ามันไม่มีกิเลสมันสะเทือนอะไร? นี่ความรู้สึกนี้มันสะเทือนอะไร? คำพูดมันสะเทือนอะไร? มันสะเทือนความคิดไง มันถนอมไว้ความคิดเราอีกอย่างหนึ่ง ความคิดเราโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความคิดเราด้วยความยึดมั่นถือมั่น ความคิดโดยอัตตา ความคิดโดยทิฏฐิ ธรรมะบอกว่าสิ่งนั้นมันเป็นกิเลสทั้งหมด

สิ่งนั้นมันเป็นขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงทั้งหมด มันควรจะทิ้ง มันควรจะละ มันควรจะทำ แล้วเราจะละมันอย่างไร? พอมันสะเทือนเข้าไปมันมีฝ่ายตรงข้าม มันมีดีและชั่ว มีสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรม อันนั้นเป็นสัจธรรม เห็นไหม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในตำรับตำรา ไปศึกษากันมามันก็นู่นน่ะ เวลาเขาทำผิดนะ บอกว่าเราไม่ผิดนะ คนนู้นๆๆ มันผลักออกหมดไง คนนู้นผิด คนนี้ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันคนดีๆ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เป็นความว่าง นี่ว่างอยู่ในบ้านสบาย ว่าง เป็นคนดีสุดยอด เห็นไหม จะสอนคนอื่น คนอื่นไปสอนคนอื่น

นี่มันผลักออก เห็นไหม ถ้าเราศึกษามามันศึกษาด้วยความคิด มันผลักออก แต่เราศึกษาด้วยจิต ศึกษาด้วยจิตนะ จิตเป็นสมาธิขึ้นมา ศึกษาด้วยตัวมันเอง เห็นโทษของตัวมันเอง คนที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่เร่งความเพียรขึ้นมาเขาเห็นคุณนะ คุณของการเดินจงกรม คุณของการนั่งสมาธิ ภาวนา คุณของการตั้งสติ คุณของการอดนอนผ่อนอาหาร คุณเพราะอะไร? คุณเพราะเหตุนี้มันทำแล้วจิตสงบ จิตนี้เกิดปัญญาขึ้นมา

ถ้าเห็นคุณของมัน เราพยายามทำของเรา เพราะสิ่งนี้เป็นความเพียรชอบ ผลตอบขึ้นมา มันจะตอบขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าเราไม่เห็นคุณของมันเราน้อยเนื้อต่ำใจนะ โอ้โฮ.. ลำบากนะ เราเกิดมาลำบากที่สุดเลย คนอื่นเขามีแต่ความสุข เราเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งนะต้องมาบังคับตัวเอง เห็นไหม เวลากิเลสมันบีบบี้สีไฟนะ เราจะขาอ่อนเลย เราจะไม่มีกำลังใจเลย แต่ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมขึ้นมามันจะมีความเข้มแข็ง มันมีความวิริยะอุตสาหะ มันจะทำอะไรก็ได้ มันทำได้หมดแหละ

หัวใจคน หัวใจนี่เป็นเพชรเลย มันสามารถตัดเพชรได้เลย หัวใจที่เป็นเพชรมันจะตัดเพชร ตัดกิเลส มันจะตัดความจริงของมันขึ้นมา เห็นไหม นี่ศึกษาธรรม แล้วศึกษาที่ไหน? ศึกษาในหัวใจของเรานะ เอาจิตแก้จิต เอาความรู้สึกแก้หัวใจของเรา ศึกษาโดยสมอง ศึกษาด้วยสายตา ศึกษาอย่างนั้นมันศึกษาตามไม้ไผ่หูกระทะ ศึกษามาแล้วตาเราก็มี ไม้ไผ่มันก็มีตา ต้นไม้มันก็มีตา แล้วมันได้อะไรขึ้นมา นี่ศึกษาด้วยตา ศึกษาด้วยหูไง เราไม่ได้ศึกษาด้วยใจ ถ้าศึกษาด้วยใจ ใจมันเข้ามาสะเทือนหัวใจ นี่คุณประโยชน์กับเรานะ

ศึกษาชีวิตคือศาสนา เราควรมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แต่ขอให้เป็นคุณธรรมในใจนะ อย่าให้เป็นธรรมของ ๑๘ มงกุฎ ๑๘ มงกุฎมันเอาธรรมะเป็นสินค้า เอาธรรมะมาหาเป็นผลประโยชน์ แล้วเราเอาชีวิตเราทั้งชีวิต เรายังไม่มีเวลาไปแย่งชิงเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากเลย เราอยากได้คุณธรรม แล้วชีวิตเราจะไปให้ธรรมะโลกๆ นั้นชักนำเราไปทำไม ธรรมะของเรานะ

โอปนยิโก ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูความสุขของข้าสิ มาดูความทุกข์ในหัวใจที่เร่าร้อนสิ เห็นไหม นี่หัวใจของเรามันตอบสนอง มันรับรู้ โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูความสุขความทุกข์ในใจนี่ มาแก้ไขในหัวใจนี่ แล้วเราจะพ้นจากทุกข์ในหัวใจของเรา

ไม่ต้องไปฟังใคร ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ากาลามสูตร ไม่ให้ฟังแม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เพราะครูบาอาจารย์ท่านพูดนี่ท่านพูดสมบัติของท่าน เราทำได้หรือยัง? นี่โอปนยิโก ดูใจเรา ย้อนกลับมาดูใจเรา เราฟังท่านเป็นคติ เป็นแบบอย่าง แล้วเราจะทำใจของเรา ทำชีวิตของเราให้ประสบความสำเร็จ ให้มีคุณประโยชน์กับเรา เพื่อชีวิตของเรา เอวัง